เคล็ดลับการดูแลรถหน้าฝน


เคล็ดลับการดูแลรถหน้าฝน หลายคนจึงมักจะละเลยการดูแลรถในฤดูกาลนี้ รวมถึงมองข้ามการล้างรถเพราะเดี๋ยวก็เลอะ การตรวจเช็กระบบต่างๆ ของรถก็ถูกมองข้ามตามไปด้วย ทั้งที่ฤดูฝนส่งผลกระทบต่อรถ และการขับขี่ไม่น้อย ทาง piemoderntruck นี้เราจะพาคุณมาสำรวจ เคล็ดลับดูแลรถหน้าฝน อย่างถูกวิธี

การเช็กสภาพยางรถยนต์
ตรวจสอบดอกยาง: ตรวจดูว่าดอกยางยังมีลึกพอหรือไม่ ดอกยางที่สึกหรอเกินไปอาจทำให้การยึดเกาะถนนลดลง ควรเปลี่ยนยางเมื่อความลึกของดอกยางน้อยกว่า 1.6 มม. หากยางมีการสึกไม่สม่ำเสมอ อาจเกิดจากการตั้งศูนย์ล้อไม่ถูกต้องหรือปัญหากับช่วงล่าง
เช็กความเสียหาย: ตรวจหาว่ามียางมีรอยฉีกขาด, บวม, หรือรอยแตกหรือไม่ เพราะความเสียหายเหล่านี้อาจนำไปสู่การระเบิดของยางขณะขับขี่ ตรวจสอบด้านข้าง และขอบยางเพื่อดูว่ามีรอยบุบหรือไม่ ยางรถยนต์มีอายุการใช้งานที่จำกัด แม้ว่าจะยังดูสภาพดีอยู่ก็ตาม ควรเปลี่ยนยางทุก 5-6 ปีหรือแม้กระทั่งก่อนหน้านั้นหากพบความผิดปกติ
การเช็กลมยาง
ตรวจเช็กลมยางประจำ: ควรตรวจลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง หรือก่อนการเดินทางไกล ใช้เกจวัดลมยางเพื่อเช็กลมยาง และเติมลมตามที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนด ซึ่งสามารถดูได้จากคู่มือรถหรือป้ายที่ติดอยู่ที่ประตูรถด้านคนขับ
เช็กลมยางขณะเย็น: ควรเช็กลมยางขณะที่ยางยังเย็นอยู่หรือก่อนการขับขี่ เพราะการขับรถทำให้ยางร้อนและส่งผลต่อการวัดค่าลมยาง
ลมยางที่เหมาะสม: ลมยางที่น้อยเกินไปอาจทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น และเพิ่มการใช้น้ำมัน ลมยางที่มากเกินไปอาจทำให้การยึดเกาะถนนลดลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการระเบิดของยาง การเช็กสภาพยางรถยนต์ และลมยางอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยขึ้น


เช็กที่ปัดน้ำฝน การเช็กสภาพที่ปัดน้ำฝน
ตรวจสอบใบปัดน้ำฝน: ตรวจดูสภาพของใบปัดน้ำฝนว่ามีรอยฉีกขาด, แตกร้าว, หรือไม่ยืดหยุ่นหรือไม่ ใบปัดน้ำฝนที่สึกหรอจะไม่สามารถทำความสะอาดกระจกได้ดี และอาจทำให้เกิดรอยขูดขีดบนกระจก
ทดสอบการทำงาน: เปิดที่ปัดน้ำฝนเพื่อดูว่ามันทำงานได้ดีหรือไม่ ตรวจดูว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือการกระตุกหรือไม่
ตรวจดูว่าที่ปัดน้ำฝนสามารถทำความสะอาดน้ำฝน หรือสิ่งสกปรกได้หมดหรือไม่ หากใบปัดน้ำฝนไม่สามารถทำความสะอาดได้ดี ควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝน
ทำความสะอาดใบปัดน้ำฝน: ใช้ผ้าสะอาดและน้ำสบู่อ่อนๆ เช็ดทำความสะอาดใบปัดน้ำฝนเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่ การทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยยืดอายุการใช้งานของใบปัดน้ำฝน
เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเมื่อจำเป็น: ควรเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนทุก 6-12 เดือน หรือเมื่อใบปัดน้ำฝนเริ่มมีอาการสึกหรอการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเป็นเรื่องง่าย และไม่ใช้เวลาไม่นาน สามารถทำได้ด้วยตนเองตามคู่มือรถยนต์
ตรวจสอบน้ำฉีดกระจก: ตรวจดูระดับน้ำฉีดกระจกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเติมน้ำฉีดกระจกเมื่อจำเป็น ใช้น้ำยาฉีดกระจกที่มีคุณภาพดี เพื่อช่วยในการทำความสะอาดกระจกให้ใส และป้องกันการจับตัวของคราบสกปรก


ล้างรถหน้าฝน ขั้นตอนการล้างรถหน้าฝน
เตรียมอุปกรณ์: น้ำยาล้างรถที่มีคุณภาพดี. ฟองน้ำหรือผ้านุ่ม. ถังน้ำสะอาด. ผ้าไมโครไฟเบอร์สำหรับเช็ดแห้ง. แปรงสำหรับล้อและยางรถยนต์
ล้างด้วยน้ำสะอาด: เริ่มต้นด้วยการฉีดน้ำสะอาดล้างสิ่งสกปรก และคราบฝุ่นที่เกาะอยู่บนรถก่อน ใช้น้ำแรงดันต่ำเพื่อล้างคราบฝุ่นและดินออก
ใช้ฟองน้ำกับน้ำยาล้างรถ: ผสมน้ำยาล้างรถกับน้ำตามอัตราส่วนที่กำหนด ใช้ฟองน้ำหรือนุ่มๆ ชุบน้ำยาล้างรถแล้วถูทำความสะอาดรถจากบนลงล่าง เริ่มจากหลังคา กระจก และตัวถังรถ ระวังไม่ใช้ฟองน้ำที่มีสิ่งสกปรกหรือฝุ่นติดอยู่เพราะอาจทำให้เกิดรอยขีดข่วนบนรถ
ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง: ฉีดน้ำสะอาดล้างน้ำยาล้างรถออกให้หมด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีน้ำยาล้างรถเหลือบนพื้นผิวรถ
ทำความสะอาดล้อ และยางรถยนต์: ใช้แปรงสำหรับล้อและยางรถยนต์ล้างสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับล้อและยาง
เช็ดแห้ง: ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดรถให้แห้ง เริ่มจากด้านบนลงล่างเพื่อป้องกันน้ำหยดลงบนพื้นที่ที่เช็ดแล้ว
ให้ความสำคัญกับบริเวณที่น้ำสามารถสะสมได้ เช่น รอยต่อของประตูและช่องระบายอากาศ


เปลี่ยนหลอดไฟ ทำความสะอาดไฟหน้ารถ
เตรียมอุปกรณ์:
หลอดไฟใหม่ที่เหมาะสมกับรุ่นรถของคุณ ถุงมือ (เพราะไม่ควรจับหลอดไฟด้วยมือเปล่า เนื่องจากน้ำมันจากผิวหนังอาจทำให้หลอดไฟเสื่อมสภาพเร็วขึ้น) ไขควงหรือเครื่องมือที่จำเป็นตามคู่มือรถ
ปิดสวิตช์ไฟและเปิดฝากระโปรงหน้า: ปิดสวิตช์ไฟทั้งหมดและเปิดฝากระโปรงหน้ารถ ตรวจสอบคู่มือรถเพื่อดูวิธีการเข้าถึงหลอดไฟ
ถอดหลอดไฟเก่า: ถอดฝาครอบหรือปลั๊กที่ป้องกันหลอดไฟ หากมี ปลดขั้วต่อไฟฟ้าออกจากหลอดไฟ หมุนหรือคลายหลอดไฟเก่าออกจากช่อง
ติดตั้งหลอดไฟใหม่: ใส่หลอดไฟใหม่เข้าที่เดิมอย่างระมัดระวัง เชื่อมต่อขั้วต่อไฟฟ้าให้แน่นหนา ใส่ฝาครอบหรือปลั๊กกลับเข้าที่
ทดสอบไฟหน้า: เปิดสวิตช์ไฟหน้าตรวจสอบว่าหลอดไฟใหม่ทำงานได้ถูกต้อง

การทำความสะอาดไฟหน้ารถ
เตรียมอุปกรณ์: น้ำยาทำความสะอาดไฟหน้า ฟองน้ำหรือผ้านุ่ม ผ้าไมโครไฟเบอร์ ยาขัดหรือเคลือบไฟหน้า ล้าง ใช้น้ำและสบู่อ่อนๆ ล้างคราบสกปรก และฝุ่นบนไฟหน้าให้สะอาด เช็ดด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ให้แห้ง
ทำความสะอาดด้วยน้ำยาพิเศษ: ฉีดน้ำยาทำความสะอาดไฟหน้า หรือส่วนผสมของน้ำส้มสายชู และน้ำลงบนไฟหน้า ใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่มถูเบาๆ ทำความสะอาดคราบสกปรก และคราบเหลือง เช็ดด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ให้แห้ง


วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์
ตรวจสอบแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ:
ตรวจดูสภาพภายนอกของแบตเตอรี่ว่ามีรอยแตกหรือรอยรั่วหรือไม่ ตรวจสอบขั้วแบตเตอรี่ให้แน่ใจว่าไม่มีคราบขี้เกลือหรือสนิม ถ้ามีให้ทำความสะอาดทันที
ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่: ใช้แปรงขนแข็งและน้ำยาทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ หรือใช้ส่วนผสมของเบกกิ้งโซดากับน้ำ ถอดสายขั้วแบตเตอรี่ (เริ่มจากขั้วลบก่อนเสมอ) แล้วทำความสะอาดขั้วและขั้วต่อให้สะอาด ทาวาสลีนหรือสารป้องกันการกัดกร่อนบนขั้วแบตเตอรี่เพื่อป้องกันการเกิดขี้เกลือ
ตรวจสอบระดับน้ำกลั่น: สำหรับแบตเตอรี่ที่ต้องเติมน้ำกลั่น ตรวจสอบระดับน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเปิดฝาครอบแบตเตอรี่และเติมน้ำกลั่นให้ถึงระดับที่กำหนด (อย่าเติมเกิน) ใช้น้ำกลั่นที่สะอาดและไม่ควรใช้น้ำประปา
ตรวจสอบแรงดันไฟฟ้า: ใช้โวลต์มิเตอร์ตรวจวัดแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ แรงดันไฟฟ้าควรอยู่ระหว่าง 12.4-12.7 โวลต์ ถ้าต่ำกว่านี้อาจต้องพิจารณาชาร์จแบตเตอรี่ หรือเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
ขับรถเป็นระยะเวลานาน: หากไม่ได้ขับรถเป็นเวลานาน ควรขับรถเป็นระยะเวลาประมาณ 20-30 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อให้แบตเตอรี่ ได้รับการชาร์จจากไดชาร์จของรถยนต์



สัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่มีปัญหา
สตาร์ทรถยาก: หากรถยนต์สตาร์ทติดยากหรือมีเสียง “แชะ แชะ” ขณะพยายามสตาร์ท อาจเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่กำลังหมด
ไฟหน้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆ อ่อนแรง: หากไฟหน้ารถสลัวลงหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทำงานไม่เต็มที่ อาจเป็นสัญญาณว่าแบตเตอรี่ไม่สามารถจ่ายไฟได้เพียงพอ
แบตเตอรี่มีอาการบวม: หากแบตเตอรี่บวมผิดปกติ อาจเกิดจากความร้อนหรือการชาร์จไฟเกิน ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ทันที การดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยยืดอายุการใช้งาน และป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง ทำให้คุณสามารถขับขี่ได้อย่างปลอดภัย

เช็กระบบเบรกรถยนต์
ตรวจสอบแป้นเบรก:
กดแป้นเบรกและตรวจสอบความรู้สึกขณะเหยียบ แป้นเบรกควรมีความแน่นและตอบสนองทันทีเมื่อเหยียบลง หากแป้นเบรกมีความนุ่มหรือจมลงไปโดยไม่ตอบสนอง อาจมีปัญหาในระบบไฮดรอลิกหรือมีอากาศในสายเบรก
ฟังเสียงเบรก: ฟังเสียงขณะเบรก หากได้ยินเสียงแหลมหรือเสียงครูด อาจหมายถึงผ้าเบรกสึกหรอหรือมีสิ่งสกปรกติดอยู่ในระบบเบรก
ตรวจสอบน้ำมันเบรก: เปิดฝากระโปรงหน้าและตรวจสอบระดับน้ำมันเบรกในกระปุกน้ำมันเบรก ควรอยู่ในระดับที่กำหนด น้ำมันเบรกควรมีสีใสและไม่ขุ่น หากน้ำมันเบรกมีสีเข้มหรือขุ่น ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก
ตรวจสอบผ้าเบรก: ตรวจสอบความหนาของผ้าเบรก หากผ้าเบรกสึกหรอจนบาง ควรเปลี่ยนใหม่ทันที ควรตรวจสอบผ้าเบรกทุก 10,000 ถึง 15,000 กิโลเมตร หรือเมื่อมีเสียงเตือนจากระบบเบรก
ทดสอบเบรกมือ: ดึงเบรกมือและตรวจสอบว่ารถไม่เคลื่อนที่เมื่อจอดอยู่ หากเบรกมือไม่สามารถหยุดรถได้ ควรปรับตั้งหรือซ่อมแซม

การดูแลรักษาระบบเบรก
เปลี่ยนน้ำมันเบรก: ควรถ่ายและเปลี่ยนน้ำมันเบรกทุก 2 ปี หรือทุก 40,000 กิโลเมตร เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำมันเบรกและป้องกันการเกิดสนิมในระบบเบรก
หลีกเลี่ยงการเบรกอย่างรุนแรง: การเบรกอย่างรุนแรงและบ่อยครั้งจะทำให้ผ้าเบรกและจานเบรกสึกหรอเร็วขึ้น ควรขับรถอย่างนุ่มนวล และรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้า
ล้างทำความสะอาดระบบเบรก: ทำความสะอาดระบบเบรกเพื่อล้างคราบฝุ่น และสิ่งสกปรกที่สะสมบนจานเบรก และผ้าเบรก

สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าระบบเบรกมีปัญหา
เสียงแหลมหรือเสียงครูดขณะเบรก: อาจบ่งบอกว่าผ้าเบรกสึกหรอ หรือมีสิ่งสกปรกติดอยู่ในระบบเบรก
แป้นเบรกนุ่มหรือจมลงไปง่าย: อาจมีปัญหาในระบบไฮดรอลิกหรือมีอากาศในสายเบรก
รถสั่นหรือแกว่งขณะเบรก: อาจเกิดจากจานเบรกเบี้ยว หรือมีปัญหากับผ้าเบรก
ไฟเตือนระบบเบรกบนหน้าปัดรถยนต์: หากมีไฟเตือนระบบเบรกแสดงบนหน้าปัด ควรนำรถไปตรวจสอบทันที
การตรวจสอบ และดูแลระบบเบรกอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้การขับขี่ปลอดภัย และป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการเบรกที่ไม่สมบูรณ์


ทำความสะอาดภายในรถยนต์ลดกลิ่นอับ
เตรียมอุปกรณ์: เครื่องดูดฝุ่น.ผ้าไมโครไฟเบอร์.น้ำยาทำความสะอาดสำหรับเบาะ และภายในรถ.น้ำส้มสายชูหรือเบกกิ้งโซดา.ถุงขยะ.น้ำยาดับกลิ่น
การดูดฝุ่น: ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นบนพื้นรถ, เบาะนั่ง, และพรม อย่าลืมดูดฝุ่นในช่องแคบๆ และบริเวณที่เข้าถึงยาก
ถอดพรมออกมาทำความสะอาด และดูดฝุ่นทั้งสองด้าน
ทำความสะอาดเบาะและพรม: ใช้น้ำยาทำความสะอาดสำหรับเบาะ และพรมฉีดลงบนผ้าไมโครไฟเบอร์หรือฟองน้ำแล้วเช็ดทำความสะอาด สำหรับคราบสกปรกหรือกลิ่นที่ฝังลึกบนเบาะผ้า
ทำความสะอาดพื้นผิวภายในรถ: ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดพื้นผิวต่างๆ ภายในรถ เช่น แผงหน้าปัด, คอนโซลกลาง, ที่จับประตู, และพวงมาลัย สำหรับหน้าต่างและกระจก ใช้น้ำยาทำความสะอาดกระจกเช็ดให้ใส
ทำความสะอาดระบบปรับอากาศ: เปลี่ยนแผ่นกรองอากาศในรถเพื่อช่วยลดกลิ่นอับที่มาจากระบบ ปรับอากาศ
เปิดแอร์ให้ทำงานสักพักเพื่อช่วยระบายกลิ่นอับออกจากระบบ
ใช้ผลิตภัณฑ์ลดกลิ่น: ใช้น้ำยาดับกลิ่นที่เหมาะสมกับการใช้ในรถยนต์ ฉีดในบริเวณที่มีกลิ่นอับ วางถ่านหรือน้ำยาดับกลิ่นที่มีส่วนผสมของถ่านกัมมันต์ไว้ในรถ เพื่อดูดซับกลิ่นอับ ตรวจสอบว่ามีจุดรั่วไหลของน้ำหรือไม่ เพราะน้ำที่สะสมในรถอาจทำให้เกิดกลิ่นอับ และเชื้อรา หลีกเลี่ยงการทิ้งขยะและสิ่งของที่มีกลิ่นแรงไว้ในรถ การดูแล และทำความสะอาดภายในรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดกลิ่นอับ และทำให้บรรยากาศในรถน่ารื่นรมย์ยิ่งขึ้น


ติดตามข่าวสาร และ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ รถบรรทุก ได้ที่เว็บไซต์ : https://piemoderntruck.com/

ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม ผ่านไลน์แอด : ติดต่อเราคลิก หรือ @pie333

Page Face Book : P.I.E. Premium Modern Truck

TikTok : @piepurchesing

P.I.E. Premium Modern Truck :: ขายรถบรรทุก

บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง